ไพ่ยิปซีเพื่อนคู่ชีวิต 7
เรียนไพ่ยิปซี 20 ชั่วโมง 3,900 บาท ทายได้แน่นอน
เรียนไพ่ยิปซี 20 ชั่วโมง 3,900 บาท ทายได้แน่นอน
สามารถเรียนได้ทางโทรศัพท์ อยู่ที่ไหน ก็เรียนได้
พยากรณ์ไพ่ยิปซี ทางโทรศัพท์ ครั้งละ 1000 บาท
ผู้ที่ต้องการรับคำพยากรณ์ทางโทรศัพท์ ให้ทำดังนี้
1.โอนเงินค่าพยากรณ์ จำนวน 1000 บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน )เข้าบัญชี เลขที่ 221-0-86355-7 ชื่อ นายเอกณัฐยศ พานิชย์ไพศาลกูล
2.แจ้ง วัน เดือน ปีเกิด และปัญหาที่ต้องการรู้เป็นข้อๆ ให้ชัดเจน
3.นัดวัน ฟังคำพยากรณ์ ( นัดล่วงหน้า 3 วัน )
รับทำพิธีเพื่อช่วยให้ ขายบ้าน/ขายที่ดินได้ผลเร็วขึ้นตั้งศาล เจ้าที่, ศาลพระภูมิ, ศาลพระพรหมปรับฮวงจุ้ยบ้าน และร้านค้า
กับ อ.เอกณัฐยศ บริการทั่วประเทศ
สอบถามที่ 089 - 745 - 8432 หรือที่ akenutyos @ yahoo.co.th
โอนเงินเข้า บัญชีสะสมทรัพย์ นายเอกณัฐยศ พานิชย์ไพศาลกูลธนาคารกรุงเทพ สาขาบางใหญ่-นนทบุรี เลขที่ 221- 0- 86355-7
************************************************************
สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน เรามาพบกันอีกแล้วในฉบับนี้ ก็คงจะมีคำตอบกันบ้างแล้วนะ ในคำถามที่ว่า มีลูกค้าถามว่า เธอมีแฟนอยู่ 3 คน จะรักพี่ก็เสียดายน้อง จะทิ้งคนใดคนหนึ่งก็เสียดายคนที่เหลือ
ช่วงนี้เรามาพักศึกษาเรื่องแปลกแต่จริง
เกี่ยวกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ได้มาปรึกษากับผู้เขียนและขอให้ผู้เขียนช่วย เรื่องราวของเธอมีดังนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวดิฉัน ใจจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเล่าให้ใครอ่าน เพราะเป็นเรื่องเศร้าและเหลือเชื่อ เกรงว่าใครได้อ่านแล้วจะหาว่าบ้า
เนื่องจากอ. เอกณัฐยศได้รบเร้าอยากให้เล่าเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ได้แต่ผลัดไปเรื่อย ๆ มาจนถึงฉบับนี้ก็ยังถามถึงอยู่ ก็เลยจำเป็นต้องเล่า ครั้นจะเล่าแต่ตอนท้ายของเรื่อง รับรองว่าต้องงงกันแน่ ๆ
( อ.เอกณัฐยศ ต้องการให้เป็นวิทยาทานความรู้กับทุกท่าน
ท่านใดที่อ่านแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ และอย่าเชื่อสิ่งใด ๆ โดยง่าย ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อน )
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี นึกถึงที่ไร ก็มีแต่ความเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่น่าจะเป็นจริงเลย
เรื่องมีอยู่ว่า
ครอบครัวของดิฉัน ซึ่งมีคุณพ่อคุณแม่ ท่านมีลูก ๆ ชายหญิงรวมทั้งหมด 9 คน เป็นผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 6 คน ซึ่งตัวดิฉันเป็นลูกคนที่ 6 ก็นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
คุณพ่อเป็นคนขยันทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก ๆ และครอบครัว ต้องออกเดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้า จนดึกดื่นเที่ยงคืนจึงได้กลับบ้านมาพักผ่อน ส่วนคุณแม่ก็เป็นแม่บ้าน ที่รู้จักเก็บรู้จักใช้ตามเศรษฐกิจพอเพียง
พี่ชายคนโตเป็นคนขยันในการศึกษาเล่าเรียน เรียนเก่งมักสอบได้อันดับต้น ๆ อยู่เสมอ เป็นลูกที่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ จึงเป็นที่รักของครอบครัวและเพื่อน ๆ นอกจากนี้มักจะช่วยเหลือทางบ้านหาเงิน
โดยใช้เวลาว่างไปขายของที่ระลึกให้กับชาวต่างชาติ ก็ได้ตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็จะสอบเอ็นทรานส์เพื่อเข้าศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์
ความหวังที่ตั้งใจก็ไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะความที่เป็นคนเรียนเก่ง และโรงเรียนที่เรียนก็เป็นโรงเรียนชายชื่อดังอยู่แถวยศเส นั่นก็คือโรงเรียนเทพศิรินทร์
จนกระทั่งพี่ชายคนโตเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย เพื่อที่จะสอบเอ็นทรานส์
ในปีนั้น พี่ชายคนโตอายุประมาณ 19 ปี ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ และทบทวนวิชาความรู้จนดึกดื่นทุกคืน
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง
ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือเพื่อทบทวนความรู้อยู่นั้น และทุกคนในครอบครัวหลับกันหมด เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น........
และเมื่อเช้าแล้ว ก็มาเล่าให้คุณแม่ฟังว่า
มักได้ยินเสียงคนด่าอยู่ในหัวสมอง เหมือนเสียงแว่ว ๆ เข้ามา แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้ยิน
นับตั้งแต่นั้นมา อาการหูแว่วได้ยินเสียงก็เป็นมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย ทำให้เครียดมาก หงุดหงิด
กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ คุณหมอก็ให้ยาคลายเครียดมาทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ต่อมาก็เป็นหนักมากขึ้นกว่าเดิม จนต้องพาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ก็รักษาตัวกันอยู่นานพอสมควร
แต่ก็แปลก ที่คุณหมอไม่สามารถรักษาอาการได้ จนในที่สุดอาการก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ต้องให้อาหารทางสายยาง อาการมีแต ่ทรงกับทรุดไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีแต่สายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด
แต่ก็ไม่มีท่าที ที่พี่ชายจะฟื้นชึ้นมา
จนในที่สุดอยู่มาวันหนึ่ง
พี่สาวคนรองได้ไปเยี่ยมพี่ชายคนโตที่โรงพยาบาล และรีบกลับบ้านพร้อมทั้งบอกว่า
พี่ชายคนโตได้เสียชีวิตลง โดยคุณหมอลงความเห็นว่าโลหิตเป็นพิษ
แต่ทางครอบครัวไม่มีใครเชื่อตามที่คุณหมอสัญนิฐาน ได้แต่งง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกคนในครอบครัวมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจมาก และนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน
ในขณะที่ตัวดิฉันมีอายุ 13 ปี ประมาณปี พ.ศ. 2521
เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างดิฉันในตอนนั้น ก็ได้แต่คิดว่า มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น
และก็น่าจะมีใครสักคน ที่สามารถจะช่วยให้คำปรึกษากับเราได้
จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงปี พ.ศ. 2539 ได้มาเจอ อ.เอกณัฐยศ ก็เลยได้เล่าเรื่องที่คาใจนี้ให้ฟัง ซึ่งปกติไม่เคยเล่าเรื่องอย่างนี้ให้ใครฟัง
ก็เลยถาม อ. ว่า " พี่ชายคนโตที่เสียชีวิตไปนี้ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง และไปเกิดหรือยัง ? "
อ. เอกณัฐยศได้รับปากว่าจะไปหาข้อมูลมาให้ และหายไป 2 วัน ก็ได้มาบอกดิฉันว่า
" ตอนนี้พี่ชายที่ตายไป เป็นสัมภเวสีร่อนเร่อยู่ และต้องอยู่เป็นสัมภเวสีแบบนี้ เป็นเวลา 100 ปี จึงจะไปเกิดได้ "
ในส่วนตัวดิฉันก็ไม่รู้ว่า เป็นเรื่องจริง เท็จแค่ไหน แต่ก็ถามไปว่า
" จะมีวิธีใด ที่จะช่วยพี่ชายให้ไปเกิดใหม่ โดยไม่ต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนได้บ้าง ? "
อ. เอก ก็หายไปอีก 2 วัน และกลับมาบอกว่า
" อ. เอก ได้ทำพิธีบางอย่าง และตอนนี้พี่ชายได้ไปเกิดเป็นคนแล้ว "
(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่างมงายไร้เหตุผล เนื่องจากพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้)
ดิฉันก็รับฟังด้วยความงง ๆ เพราะเป็นเรื่องเหลือเชื่อและพิสูจน์ไม่ได้
อีกหลายวันต่อมา
พี่ชายคนที่สาม ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตประจำอยู่ทางเหนือ
ได้ลงมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ นาน ๆ พี่ชายคนที่สามจึงจะลงมาสักครั้ง
โดยปกติพี่ชายคนที่สามนี้จะเป็นคนสันโดษ สนใจศึกษาด้านธรรมะ
และมีอาจารย์ สอนด้านสมาธิอยู่ จ.เพชรบูรณ์ ชื่อ อ.พร เป็นอาจารย์ที่สอนด้านสมาธิโดยตรง
และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ก่อนที่จะมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ ได้แวะไปเยี่ยมอ. พร ที่เพชรบูรณ์
และอ. พรได้บอกกับพี่ชายคนที่สามว่า
" พี่ชายคนโตที่เสียชีวิตไป ตอนนี้ได้ไปเกิดเป็นคนแล้ว "
เมื่อพี่ชายคนที่สามเดินทางมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพในครั้งนี้
มาพักได้หลายวันแล้ว จึงบอกให้ดิฉันฟังว่า
" น้องเล็กรู้ไหม พี่ชายคนโตไปเกิดแล้วนะ "
ดิฉันกำลังทำงานอยู่ ได้ฟังก็รู้สึกตกใจมาก กับเรื่องนี้ เนื่องจากไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
แม้แต่คุณพ่อ คุณแม่ และพี่น้องทุก ๆ คน กลัวว่าถ้าเล่าไปแล้ว จะไม่มีใครเชื่อ
เพราะไม่สามารถแสดงให้เป็นรูปธรรมได้
และอาจารย์พร กับอาจารย์เอก ก็ไม่เคยรู้จัก หรือติดต่อกันเลย
ทำไมข้อมูลในเรื่องนี้ถึงตรงกันได้ ก็เลยถามว่า
"แล้วเฮียรู้ได้อย่างไรว่า พี่ชายคนโตไปเกิดแล้ว"
พี่ชายคนที่สามตอบว่า " อาจารย์ที่สอนสมาธิได้บอกให้ฟังว่า พี่ชายคนโตไปเกิดแล้วนะ"
ดิฉันก็พูดต่อว่า "รู้ตั้งหลายวันแล้ว แต่ไม่ได้บอกให้ใครฟัง กลัวจะไม่มีใครเชื่อ เพราะอาจารย์ที่นับถือเป็นคนจัดการให้"
เมื่อพี่ชายคนที่สามได้ฟัง ก็ทำหน้า งง ๆ ว่ามีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ
และเรื่องราวของครอบครัวดิฉันก็จบลงเพียงเท่านี้
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเรื่องแปลกแต่จริง เพื่อต้องการแบ่งปันความรู้มาเล่าสู่กัน
รู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะพิสูจน์ไม่ได้
ใครต้องการอ่านไพ่ยิปซีตอนเก่า ๆ ฉบับย้อนหลังสามารถสั่งซื้อได้ที่ พุทธามหาเวท หรือจะดูที่ http://aketarot.blogspot.com/ หรือE mail มาที่ akenutyos@yahoo.co.th แล้วพบกันในฉบับหน้า
อ่านบทความต่อไป กดอ่านที่ NEWER POST หรือ OLDER POST ด้านล่าง
สวัสดีครับทุก ๆ ท่าน เรามาพบกันอีกแล้วในฉบับนี้ ก็คงจะมีคำตอบกันบ้างแล้วนะ ในคำถามที่ว่า มีลูกค้าถามว่า เธอมีแฟนอยู่ 3 คน จะรักพี่ก็เสียดายน้อง จะทิ้งคนใดคนหนึ่งก็เสียดายคนที่เหลือ
ช่วงนี้เรามาพักศึกษาเรื่องแปลกแต่จริง
เกี่ยวกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ได้มาปรึกษากับผู้เขียนและขอให้ผู้เขียนช่วย เรื่องราวของเธอมีดังนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวดิฉัน ใจจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเล่าให้ใครอ่าน เพราะเป็นเรื่องเศร้าและเหลือเชื่อ เกรงว่าใครได้อ่านแล้วจะหาว่าบ้า
เนื่องจากอ. เอกณัฐยศได้รบเร้าอยากให้เล่าเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ได้แต่ผลัดไปเรื่อย ๆ มาจนถึงฉบับนี้ก็ยังถามถึงอยู่ ก็เลยจำเป็นต้องเล่า ครั้นจะเล่าแต่ตอนท้ายของเรื่อง รับรองว่าต้องงงกันแน่ ๆ
( อ.เอกณัฐยศ ต้องการให้เป็นวิทยาทานความรู้กับทุกท่าน
ท่านใดที่อ่านแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ และอย่าเชื่อสิ่งใด ๆ โดยง่าย ให้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อน )
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี นึกถึงที่ไร ก็มีแต่ความเศร้าเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่น่าจะเป็นจริงเลย
เรื่องมีอยู่ว่า
ครอบครัวของดิฉัน ซึ่งมีคุณพ่อคุณแม่ ท่านมีลูก ๆ ชายหญิงรวมทั้งหมด 9 คน เป็นผู้หญิง 3 คน ผู้ชาย 6 คน ซึ่งตัวดิฉันเป็นลูกคนที่ 6 ก็นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่ ฐานะทางครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร
คุณพ่อเป็นคนขยันทำงานเพื่อหาเงินมาเลี้ยงลูก ๆ และครอบครัว ต้องออกเดินทางไปทำงานตั้งแต่เช้า จนดึกดื่นเที่ยงคืนจึงได้กลับบ้านมาพักผ่อน ส่วนคุณแม่ก็เป็นแม่บ้าน ที่รู้จักเก็บรู้จักใช้ตามเศรษฐกิจพอเพียง
พี่ชายคนโตเป็นคนขยันในการศึกษาเล่าเรียน เรียนเก่งมักสอบได้อันดับต้น ๆ อยู่เสมอ เป็นลูกที่เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ จึงเป็นที่รักของครอบครัวและเพื่อน ๆ นอกจากนี้มักจะช่วยเหลือทางบ้านหาเงิน
โดยใช้เวลาว่างไปขายของที่ระลึกให้กับชาวต่างชาติ ก็ได้ตั้งความหวังไว้ว่า เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ก็จะสอบเอ็นทรานส์เพื่อเข้าศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์
ความหวังที่ตั้งใจก็ไม่ไกลเกินเอื้อม เพราะความที่เป็นคนเรียนเก่ง และโรงเรียนที่เรียนก็เป็นโรงเรียนชายชื่อดังอยู่แถวยศเส นั่นก็คือโรงเรียนเทพศิรินทร์
จนกระทั่งพี่ชายคนโตเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย เพื่อที่จะสอบเอ็นทรานส์
ในปีนั้น พี่ชายคนโตอายุประมาณ 19 ปี ได้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ และทบทวนวิชาความรู้จนดึกดื่นทุกคืน
จวบจนกระทั่งวันหนึ่ง
ในขณะที่นั่งอ่านหนังสือเพื่อทบทวนความรู้อยู่นั้น และทุกคนในครอบครัวหลับกันหมด เพราะเป็นเวลาดึกมากแล้ว ได้มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น........
และเมื่อเช้าแล้ว ก็มาเล่าให้คุณแม่ฟังว่า
มักได้ยินเสียงคนด่าอยู่ในหัวสมอง เหมือนเสียงแว่ว ๆ เข้ามา แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้ยิน
นับตั้งแต่นั้นมา อาการหูแว่วได้ยินเสียงก็เป็นมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย ทำให้เครียดมาก หงุดหงิด
กินไม่ได้นอนไม่หลับ จนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ คุณหมอก็ให้ยาคลายเครียดมาทาน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ต่อมาก็เป็นหนักมากขึ้นกว่าเดิม จนต้องพาเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ก็รักษาตัวกันอยู่นานพอสมควร
แต่ก็แปลก ที่คุณหมอไม่สามารถรักษาอาการได้ จนในที่สุดอาการก็เริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ต้องให้อาหารทางสายยาง อาการมีแต ่ทรงกับทรุดไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็มีแต่สายระโยงระยางเต็มตัวไปหมด
แต่ก็ไม่มีท่าที ที่พี่ชายจะฟื้นชึ้นมา
จนในที่สุดอยู่มาวันหนึ่ง
พี่สาวคนรองได้ไปเยี่ยมพี่ชายคนโตที่โรงพยาบาล และรีบกลับบ้านพร้อมทั้งบอกว่า
พี่ชายคนโตได้เสียชีวิตลง โดยคุณหมอลงความเห็นว่าโลหิตเป็นพิษ
แต่ทางครอบครัวไม่มีใครเชื่อตามที่คุณหมอสัญนิฐาน ได้แต่งง ๆ ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ทุกคนในครอบครัวมีแต่ความโศกเศร้าเสียใจมาก และนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน
ในขณะที่ตัวดิฉันมีอายุ 13 ปี ประมาณปี พ.ศ. 2521
เด็กตัวเล็ก ๆ อย่างดิฉันในตอนนั้น ก็ได้แต่คิดว่า มันน่าจะมีอะไรที่มากกว่านั้น
และก็น่าจะมีใครสักคน ที่สามารถจะช่วยให้คำปรึกษากับเราได้
จนกระทั่งเวลาผ่านมาถึงปี พ.ศ. 2539 ได้มาเจอ อ.เอกณัฐยศ ก็เลยได้เล่าเรื่องที่คาใจนี้ให้ฟัง ซึ่งปกติไม่เคยเล่าเรื่องอย่างนี้ให้ใครฟัง
ก็เลยถาม อ. ว่า " พี่ชายคนโตที่เสียชีวิตไปนี้ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง และไปเกิดหรือยัง ? "
อ. เอกณัฐยศได้รับปากว่าจะไปหาข้อมูลมาให้ และหายไป 2 วัน ก็ได้มาบอกดิฉันว่า
" ตอนนี้พี่ชายที่ตายไป เป็นสัมภเวสีร่อนเร่อยู่ และต้องอยู่เป็นสัมภเวสีแบบนี้ เป็นเวลา 100 ปี จึงจะไปเกิดได้ "
ในส่วนตัวดิฉันก็ไม่รู้ว่า เป็นเรื่องจริง เท็จแค่ไหน แต่ก็ถามไปว่า
" จะมีวิธีใด ที่จะช่วยพี่ชายให้ไปเกิดใหม่ โดยไม่ต้องเป็นสัมภเวสีเร่ร่อนได้บ้าง ? "
อ. เอก ก็หายไปอีก 2 วัน และกลับมาบอกว่า
" อ. เอก ได้ทำพิธีบางอย่าง และตอนนี้พี่ชายได้ไปเกิดเป็นคนแล้ว "
(โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อย่างมงายไร้เหตุผล เนื่องจากพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้)
ดิฉันก็รับฟังด้วยความงง ๆ เพราะเป็นเรื่องเหลือเชื่อและพิสูจน์ไม่ได้
อีกหลายวันต่อมา
พี่ชายคนที่สาม ซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขตประจำอยู่ทางเหนือ
ได้ลงมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ นาน ๆ พี่ชายคนที่สามจึงจะลงมาสักครั้ง
โดยปกติพี่ชายคนที่สามนี้จะเป็นคนสันโดษ สนใจศึกษาด้านธรรมะ
และมีอาจารย์ สอนด้านสมาธิอยู่ จ.เพชรบูรณ์ ชื่อ อ.พร เป็นอาจารย์ที่สอนด้านสมาธิโดยตรง
และมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
ก่อนที่จะมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพ ได้แวะไปเยี่ยมอ. พร ที่เพชรบูรณ์
และอ. พรได้บอกกับพี่ชายคนที่สามว่า
" พี่ชายคนโตที่เสียชีวิตไป ตอนนี้ได้ไปเกิดเป็นคนแล้ว "
เมื่อพี่ชายคนที่สามเดินทางมาเยี่ยมบ้านที่กรุงเทพในครั้งนี้
มาพักได้หลายวันแล้ว จึงบอกให้ดิฉันฟังว่า
" น้องเล็กรู้ไหม พี่ชายคนโตไปเกิดแล้วนะ "
ดิฉันกำลังทำงานอยู่ ได้ฟังก็รู้สึกตกใจมาก กับเรื่องนี้ เนื่องจากไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
แม้แต่คุณพ่อ คุณแม่ และพี่น้องทุก ๆ คน กลัวว่าถ้าเล่าไปแล้ว จะไม่มีใครเชื่อ
เพราะไม่สามารถแสดงให้เป็นรูปธรรมได้
และอาจารย์พร กับอาจารย์เอก ก็ไม่เคยรู้จัก หรือติดต่อกันเลย
ทำไมข้อมูลในเรื่องนี้ถึงตรงกันได้ ก็เลยถามว่า
"แล้วเฮียรู้ได้อย่างไรว่า พี่ชายคนโตไปเกิดแล้ว"
พี่ชายคนที่สามตอบว่า " อาจารย์ที่สอนสมาธิได้บอกให้ฟังว่า พี่ชายคนโตไปเกิดแล้วนะ"
ดิฉันก็พูดต่อว่า "รู้ตั้งหลายวันแล้ว แต่ไม่ได้บอกให้ใครฟัง กลัวจะไม่มีใครเชื่อ เพราะอาจารย์ที่นับถือเป็นคนจัดการให้"
เมื่อพี่ชายคนที่สามได้ฟัง ก็ทำหน้า งง ๆ ว่ามีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ
และเรื่องราวของครอบครัวดิฉันก็จบลงเพียงเท่านี้
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเรื่องแปลกแต่จริง เพื่อต้องการแบ่งปันความรู้มาเล่าสู่กัน
รู้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อ เพราะพิสูจน์ไม่ได้
ใครต้องการอ่านไพ่ยิปซีตอนเก่า ๆ ฉบับย้อนหลังสามารถสั่งซื้อได้ที่ พุทธามหาเวท หรือจะดูที่ http://aketarot.blogspot.com/ หรือE mail มาที่ akenutyos@yahoo.co.th แล้วพบกันในฉบับหน้า
อ่านบทความต่อไป กดอ่านที่ NEWER POST หรือ OLDER POST ด้านล่าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น